4. ดนตรีกับการพัฒนาศักยภาพของมนุษย์
|
ดนตรีมีส่วนในการพัฒนาทางด้านร่างกาย
จิตใจ อารมณ์ สังคม ช่วยให้การประสานงานของระบบต่างๆ ในร่างกาย ความสามารถทางการเห็นและการได้ยินดีขึ้น
นอกจากนี้ยังมีส่วนเสริมสร้างสมาธิ ความจำ เชาว์ปัญญา ความคิดสร้างสรรค์ และคุณลักษณะที่พึงประสงค์อื่นๆ
4.1 ดนตรีกับการพัฒนาสติปัญญา
|
เป็นที่ทราบกันดีว่าการนำดนตรีเข้าไปบูรณาการในเนื้อหาวิชาต่างๆ
จะช่วยให้เด็กเรียนรู้ความคิดรวบยอดของเนื้อหาวิชานั้นๆ ได้ง่ายขึ้น ครูประถมศึกษาในอเมริกาแต่งเพลงประกอบการเรียนการสอนวิชาต่างๆ
ในระดับประถมศึกษาปีที่ 1 จำนวน 65 เพลง พบว่า เด็กเรียนรู้ได้เร็วขึ้น และจากการติดตามผล
เด็กจะมีความคงทนในการจำยาวนานไปจนถึงการเรียนในชั้นมัธยม (Jeanne Akin, 1997)
Dr. Georgi Lozanov ได้ทดลองจัดโปรแกรมดนตรีควบคู่ไปกับการเรียนในหลักสูตรปกติ
ที่ใช้เวลาเรียน 4 ปี ในโรงเรียนประถมศึกษาของประเทศบุลกาเรีย พบว่า เด็กสามารถใช้เวลาเรียนเพียง
2 ปีก็จบหลักสูตร (Delehanty, 1982) ซึ่งวิธีการของ Lazanov นี้ ได้นำไปใช้ในโรงเรียนประถมศึกษาของประเทศสหรัฐอเมริกาอย่างกว้างขวาง
การศึกษาคะแนนเฉลี่ยสะสม (GPA) ของนักเรียนมัธยมปลายที่เรียนดนตรีและไม่ได้เรียนดนตรี
ของ Mission Viejo High School รัฐแคลิฟอร์เนีย พบว่า กลุ่มที่เรียนดนตรี มี GPA
เฉลี่ย 3.57 กลุ่มที่ไม่ได้เรียนดนตรี มี GPA เฉลี่ย 2.91 และในกลุ่มที่เรียนดนตรี
มีผู้ได้ GPA เฉลี่ย 4.0 ร้อยละ16 ในขณะที่กลุ่มที่ไม่ได้เรียนดนตรี มีผู้ได้ GPA
เฉลี่ย 4.0 เพียงร้อยละ 5 เท่านั้น (Horned, 1983) ในรัฐแคลิฟอร์เนียเช่นกัน มีการสำรวจพบว่า
ผู้ได้รางวัลชนะเลิศการแข่งขันความสามารถพิเศษทางวิทยาศาสตร์ของ Westing House
Science Talent Search เป็นผู้ที่มีความสามารถทางดนตรีด้วย ร้อยละ 40 (State of
California, 1986) นอกจากนี้ยังมีงานวิจัยที่บ่งชี้ว่า ดนตรีมีส่วนสัมพันธ์กับผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนภาษา
คณิตศาสตร์ ฯลฯ
4.2 ดนตรีกับการพัฒนากระบวนการคิด
|
กระบวนการคิด เป็นการคิดที่ประกอบไปด้วยลำดับขั้นตอน
ต้องอาศัยทักษะขั้นพื้นฐานจากการเรียนรู้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งความสามารถในการสร้างมโนทัศน์เกี่ยวกับสิ่งนั้น
บรุนเนอร์ (Bruner, 1965 อ้างถึงใน ทิศนา แขมมณี และคณะ, 2543) กล่าวว่า เด็กเริ่มต้นเรียนรู้จากการกระทำ
ต่อไปจึงจะสามารถจินตนาการ หรือสร้างภาพในใจหรือในความคิดขึ้นได้ จากนั้นจึงจะถึงขั้นการคิดและเข้าใจในสิ่งที่เป็นนามธรรม
ส่วน บลูม (Bloom, 1961 อ้างถึงใน ทิศนา แขมมณี และคณะ, 2543) ได้จำแนกการเรียนรู้
(Cognition) ออกเป็น 6 ขั้น ได้แก่ ขั้นความรู้ ขั้นเข้าใจ ขั้นนำไปใช้ ขั้นวิเคราะห์
ขั้นสังเคราะห์ และขั้นประเมินคุณค่า กระบวนการคิดที่สำคัญ ได้แก่ การคิดสร้างสรรค์
การคิดแก้ปัญหา การคิดตัดสินใจ เป็นต้น ดนตรีเป็นสิ่งเร้าที่สำคัญของการทำงานของสมองในการะบวนการคิด
ทั้งนี้เพราะการรับรู้ทางดนตรีเกิดจากการจินตนาการ ซึ่งเกิดขึ้นภายในสมองโดยตรง
หากสมองได้รับการกระตุ้นอย่างสม่ำเสมอจากเพลงที่มีทำนองง่ายๆ มีคำร้อง เพลงที่มีเครื่องดนตรีน้อยชิ้น
ไปจนถึงเพลงด้วยวงดนตรีขนาดใหญ่ สมองจะรับรู้ เข้าใจ จำเสียงดนตรีต่างๆ ได้ สามารถวิเคราะห์แนวทำนองของเครื่องดนตรีแต่ละแนว
สังเคราะห์คุณภาพของเสียงประสาน และประเมินคุณค่าของบทเพลงนั้นๆ ได้ ซึ่งเป็นทักษะที่สอดคล้องกับทักษะกระบวนการคิดอย่างแท้จริง
งานวิจัยที่สนับสนุน ได้แก่ ในปี ค.ศ.1979 Wolff ได้ทดลองสอนดนตรีให้กับเด็กชั้นประถมศึกษาปีที่
1 วันละ 30 นาที เป็นเวลา 1 ปี ทดสอบด้วย Test of Creative Thinking ทั้งก่อนและหลังการทดลอง
พบว่า เด็กมีความสามารถในการคิดสร้างสรรค์เพิ่มขึ้น (Editor, 1998) Hamann, Bourassa
และ Aderman ใช้ Giulford Unusual Consequences Test ทดสอบนักศึกษาชั้นปีที่ 1
ของ Kent State University ที่จบการศึกษาชั้นมัธยมศึกษาจากโรงเรียนเดียวกัน แต่เลือกเรียนโปรแกรมดนตรีกับไม่ได้เรียนโปรแกรมดนตรี
ผลการทดสอบพบว่า คะแนนความคิดสร้างสรรค์ของนักศึกษากลุ่มที่เรียนโปรแกรมดนตรีสูงกว่ากลุ่มที่ไม่ได้เรียนอย่างมีนัยสำคัญ
(Editor, 1998)
4.3 ดนตรีกับการพัฒนาอารมณ์
|
คำพูดที่มักจะใช้แทนภาพพจน์ของนักดนตรีว่าเป็นผู้มี
"อารมณ์อ่อนไหว" (น่าจะเป็น "อารมณ์สุนทรีย์" มากกว่า - ผู้เขียน)
ซึ่งอาจจะเกิดทัศนคติในทางลบก็เป็นได้ เพราะโดยแท้จริงนักดนตรีจะเป็นผู้ที่มี "อารมณ์มั่นคง"
ไม่หวั่นไหวไปตามเหตุการณ์ต่างๆ นักวิจัยได้ค้นพบว่า สมองของมนุษย์สามารถตอบสนองและจำแนกอารมณ์ทางดนตรี
(Musical Moods) ว่าเป็นความสุข ความเศร้า ความโกรธ ความกลัว ฯลฯ โดยการตรวจสอบคลื่นไฟฟ้าในสมอง
และยังพบว่า การตอบสนองเกิดขึ้นในระบบประสาทอัตโนมัติด้วย เช่น ความเปลี่ยนแปลงอัตราการเต้นของหัวใจ
อุณหภูมิในร่างกาย เป็นต้น (Carol Krumhansl, 1997) อารมณ์ทางดนตรีเป็นสถานะการณ์จำลองของอารมณ์ที่เกิดขึ้นในชีวิตจริงของมนุษย์
การที่สมองเรียนรู้ (รู้จักคุ้นเคย) กับอารมณ์ลักษณะต่างๆ เมื่อเวลาที่ต้องเผชิญกับสภาวะทางอารมณ์ใดๆ
ย่อมไม่หวั่นไหวและแสดงออกได้อย่างเหมาะสม ผู้ฝึกฝนหรือมีประสบการณ์ทางดนตรีจึงเป็นผู้รู้จักอารมณ์ของตนเอง
สามารถควบคุมอารมณ์ตนเอง รวมทั้งเข้าใจอารมณ์ของผู้อื่น ในปัจจุบันเชื่อกันว่า
ความสามารถในการพัฒนาอารมณ์ (EQ - Emotional Quotient)* เป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยให้คนเราประสบความสำเร็จ
(ศันสนีย์, 2542 : 196) ได้แก่ การรู้อารมณ์ตนเอง การบริหารจัดการอารมณ์ตนเอง การรู้จักสร้างแรงจูงใจให้ตนเอง
การรู้อารมณ์ผู้อื่น และการบริหารจัดการอารมณ์ผู้อื่น (กมลชนก, 2542 : 14-15) ซึ่งคุณลักษณะดังกล่าวนี้
ดนตรีสามารถพัฒนาให้เกิดขึ้นได้อย่างสมบูรณ์
*บางแห่งใช้คำว่า ความฉลาดทางอารมณ์ (EI-Emotional Intelligence)
4.4 ดนตรีกับพัฒนาพลังสมาธิ
|
สมาธิ หมายถึง ความตั้งใจจดจ่ออยู่กับสิ่งใดสิ่งหนึ่งเพียงอย่างเดียว
คนที่มีสมาธิดี สามารถที่จะทำงานอะไรก็ตามอย่างตั้งอกตั้งใจจนกระทั่งประสบความสำเร็จ
สมาธินี้ถ้าได้รับการฝึกฝนอย่างสม่ำเสมอ จะขยายขอบเขตของช่วงเวลามากขึ้นตามลำดับ
ซึ่งเป็นการขยายของช่วงเวลาที่จิตใจอยู่ในสภาวะนิ่งหรือคงที่ไปพร้อมๆ กัน สภาวะนิ่งหรือคงที่ของจิตใจ
เรียกว่า พลังสมาธิ โลกปัจจุบันนี้ ยอมรับกันว่า การที่บุคคลจะประสบความสำเร็จในกิจการงานต่างๆ
ได้ตามวัตถุประสงค์ ไม่ว่าจะเป็นการศึกษาเล่าเรียน การค้นคว้าวิจัย การสร้างสรรค์
ฯลฯ จะต้องเป็นผู้ที่มีพลังสมาธิอยู่ในระดับสูง ดนตรีมีผลต่อการพัฒนาพลังสมาธิ
ทั้งนี้เพราะการฝึกฝนทางดนตรีอย่างถูกต้อง ต่อเนื่อง และสม่ำเสมอ ไม่ว่าจะเป็น
การฟัง การร้อง การเล่นดนตรี ฯลฯ จำเป็นต้องใช้สมาธิและการเพิ่มขอบเขตของช่วงเวลาตามลำดับ
จากเพลงสั้นๆ ไปจนถึงการฝึกฝนเพลงที่มีความยาวมากๆ ประสบการณ์ดังกล่าวจะเป็นการขยายขอบเขตของช่วงเวลาที่จิตใจอยู่ในสภาวะนิ่ง
เป็นการพัฒนาพลังสมาธิให้เพิ่มขึ้นตามลำดับนั่นเอง*
* งานวิจัยเรื่องดนตรีกับสมาธิ ผู้เขียนเคยอ่านพบ แต่ไม่สามารถค้นคว้ามาอ้างอิงได้ขณะที่เขียนบทความนี้ และพิจารณาว่าเป็นประเด็นสำคัญ ที่ควรมีการศึกษาให้ลึกซึ้งกว้างขวางมากขึ้นต่อไป