คำสารภาพของพ่อ

ดร.นวลศิริ เปาโรหิตย

“ถ้ามีโอกาสใหม่ พ่อจะเป็นพ่อที่ดีของลูกในความหมายที่แท้จริง พ่อจะรักลูกโดยไม่บังคับกดดัน ให้ลูก ต้องมาเป็นอย่างที่พ่อต้องการ”
เสียงกริ่งโทรศัพท์ดังขึ้น ในช่วงบ่ายของวันจันทร์ มันเป็นวันที่ค่อนข้างจะสงบสำหรับจามรพอสมควร สาเหตุเพราะทุกอย่างทางธุรกิจ ดูจะเงียบเหงาผิดปกติ วันนี้ทั้งวันมีผู้มาติดต่อด้วยเพียงแค่สองราย
จามรคอยสังเกตการหมุนของเข็มนาฬิกา เพื่อให้ถึงเวลาสิบเจ็ดนาฬิกา เวลาที่เขาจะได้กลับบ้าน และไปรับบุตรสาวที่โรงเรียน เขาเอื้อมมือไปรับโทรศัพท์อย่างเชื่องช้า พลันที่เขายกหูโทรศัพท์ขึ้นแนบกับใบหู สิ่งที่เขาได้ยินจากฝั่งตรงข้ามทำให้เลือดของเขาเย็นเฉียบ มือไม้สั่นทำอะไรไม่ถูก เขาได้ยินเสียงตัวเองพูดออกไปว่า “ครับ ผมจะรีบไปเดี๋ยวนี้” เขาเดินเกือบเหมือนวิ่งออกมาจากห้องที่ทำงาน พลางตะโกนบอกเพื่อนร่วมงานว่า “คุณสุดา ช่วยดูแลลูกค้าแทนด้วย ผมจะรีบไปโรงพยาบาล ลูกประสบอุบัติเหตุ” เมื่อเขาถึงที่จอดรถ เขาควานหากุญแจด้วยมือที่สั่น สตาร์ทและนำรถออกมาเหยียบคันเร่งเต็มที่ เพื่อให้ถึงที่หมายอย่างเร็วที่สุด
เขาแทบจะไม่รู้ว่ามาถึงโรงพยาบาลได้อย่างไร จิตใจนึกถึงแต่คำพูดที่ได้ยินทางโทรศัพท์จากคุณครูประจำชั้นของลูกแก้ว ลูกสาวคนเดียววัย 9 ขวบของเขาว่า ในขณะที่กำลังซ้อมการเล่นยิมนาสติกอยู่นั้น ลูกเขาพลัดตกลงมาจากอุปกรณ์เครื่องเล่น ในขณะพยายามซ้อมท่าตีลังกา ทำให้ศีรษะฟาดลงกับพื้น และมีอาการแน่นิ่งไป ขณะนี้กำลังถูกนำตัวส่งโรงพยาบาล และอยากให้เขามาที่โรงพยาบาลโดยด่วน
จามรเดินเกือบเหมือนวิ่งไปที่ห้องฉุกเฉิน เมื่อไปถึงเขาก็รีบตรงเข้าไปถามแพทย์ถึงลูกของเขา และก็ได้รับคำตอบว่า กำลังถูกส่งเข้าไปยังห้องผ่าตัด เพราะมีอาการเลือดคั่งในสมอง จามรรู้สึกหน้ามืดเหมือนจะเป็นลมแต่ก็พยายามทรงตัวเดินตามไปยังห้องผ่าตัดที่ลูกสาวกำลังได้รับการรักษาอยู่ เมื่อไปถึงและได้แจ้งให้พยาบาลทราบว่าเขาคือพ่อของเด็ก ก็ได้รับคำตอบว่าให้คอยอยู่ด้านนอก เพราะหมอกำลังช่วยเหลือเด็กอยู่
พยาบาลเห็นหน้าเขาซีดและน้ำเสียงสั่นเครือ จึงปลอบใจว่าคงจะไม่เป็นอะไรมาก และเมื่อจามรขอร้องที่จะดูหน้าลูกสักนิด พยาบาลก็บอกให้เขาดูอยู่จากภายนอก โดยเธอจะเปิดม่านให้เขามองผ่านกระจก เข้าไปครู่หนึ่ง เมื่อเธอเปิดผ้าม่านส่วนหนึ่งที่พอจะมองผ่านเข้าไปได้ จามรก็เห็นร่างเล็กๆที่บอบบางของลูกแก้ว นอนนิ่งอยู่บนเตียงคนไข้ นัยน์ตาปิดพร้อมกับมีผ้าพันแผลโพกไว้ที่ศีรษะ จามรมองลูกด้วยดวงตาที่เรื่อไปด้วยน้ำตาแห่งความรักและความสงสาร เมื่อพยาบาลปิดม่านลง เขาก็เดินอย่างหมดเรี่ยวแรงไปนั่งยังม้านั่งหน้าห้อง พร้อมทั้งหันไปทักทายกับครูและเพื่อนของลูกแก้วที่เขารู้จักอีกสองคนสามคนที่มาดูอาการของลูกแก้ว ในขณะที่จามรนั่งคอยผลการผ่าตัดของลูกอย่างใจจดใจจ่อ ภาพต่างๆที่เกี่ยวกับเขาและลูกแก้วก็ผุดขึ้นมาเป็นเรื่องราวอย่างต่อเนื่อง หลายสิ่งหลายอย่างที่เกิดขึ้นกับตัวเขา และวิธีการปฏิบัติที่เขาทำต่อลูกของเขา มันทำให้เขาละอายใจตัวเอง
เขาอยากจะปลุกลูกแก้วให้ตื่นขึ้นมารับฟังคำสารภาพบาปของเขา เขาอยากจะบอกลูกของเขาว่า
พ่อยังจำได้ดีถึงเมื่อตอนที่ลูกแก้วเกิดมา หลังจากที่พ่อกับแม่ของลูกแต่งงานกันมาได้ราว 5 ปี ลูกเป็นแก้ว เป็นสิ่งที่เราทั้งสองรอคอย และเมื่อลูกแก้วเกิดมาลูกก็ไม่ได้ทำให้พ่อแม่ผิดหวัง ลูกเป็นเด็กหญิงที่สวยงาม น่ารัก แม่ของลูกอยู่ดูความน่ารักของลูกได้เพียงสามปี ก็เสียชีวิตลงด้วยโรคร้าย พ่อเลี้ยงลูกตามลำพัง และตั้งใจว่าจะทุ่มเททุกอย่างให้กับลูก
พ่อตั้งความหวังไว้กับลูกค่อนข้างสูง พ่ออยากให้ลูกเรียนให้สูงที่สุดเท่าที่พ่อจะส่งเสียให้ลูกได้ พร้อมกันนี้ พ่อก็บอกลูกว่าอยากให้ลูกเล่นกีฬาเหมือนพ่อ โดยพ่อจะแสดงให้ลูกรู้อยู่ตลอดเวลาว่า พ่อจะชื่นชมและปลื้มเมื่อลูกมีผลการเรียนที่ดี และเล่นกีฬาเก่ง พ่อพูดบ่อยๆว่าแม่ของลูกแก้วเรียนเก่ง ได้เกรด 3 ตลอด และ ตัวพ่อก็ได้รางวัลทางด้านกีฬาหลายครั้ง แต่พ่อไม่ทันสังเกตว่าลูกมักจะเงียบเมื่อพูดถึงเรื่องนี้ อาจจะเป็นเพราะว่า ผลการเรียนของลูกไม่ได้เป็นอย่างที่พ่อหวังนัก คือลูกแก้วจะเรียนค่อนข้างอ่อน และการเล่นกีฬา ก็ไม่ใคร่จะมีทักษะนัก ส่วนการเล่นยิมนาสติกนั้น พ่อเป็นผู้เสนอให้ลูกแก้วลองเล่นดู ซึ่งตอนแรกลูกแก้วก็แสดงทีท่าไม่อยากเล่นนัก แต่เมื่อพ่อผลักดันมากเข้า ลูกแก้วก็ยอมไปสมัครเรียนยิมนาสติกอย่างที่พ่อต้องการ ขณะนี้พ่อรู้สึกเสียใจที่พ่อไม่เคยสังเกตถึงความอึดอัดของลูก เมื่อถูกบังคับให้เรียนในสิ่งที่ลูกไม่ถนัด
พ่อยังจำได้ว่า เมื่ออาทิตย์ก่อนนี้เองที่ลูกมาขอร้องว่า ลูกรู้สึกกลัวการเล่นที่ต้องกระโดด และกลัวจะทำไม่ได้ดี แต่มันก็เหมือนมีอะไรมาปิดบังตาของพ่อ ทำให้พ่อไม่ฟังลูก แต่กลับบอกลูกว่าต้องพยายามมากขึ้น “ไม่มีใครเป็นมาตั้งแต่เกิด ตอนพ่อเล่นฟุตบอลใหม่ๆ พ่อก็กลัวเหมือนกัน แต่พอเล่นได้แล้ว ก็จะสนุกมาก”
และพ่อยังสำทับต่อไปว่า “ถ้าลูกทำสิ่งนี้ได้ พ่อจะภูมิใจในตัวลูกมาก” พ่อจำได้ว่าลูกมองพ่อด้วยสายตาที่กลัวๆ กล้าๆ แต่ในที่สุดลูกก็พูดค่อยๆว่า “ค่ะ ลูกจะพยายามเพื่อพ่อ” ต่อมาอีกไม่กี่วันในขณะที่พ่อกำลังนั่งทำงานในเวลากลางคืน ลูกค่อยๆเดินเข้ามา และเมื่อพ่อเงยหน้าขึ้น ด้วยความที่กำลังยุ่งอยู่กับงานที่มีปัญหาบางประการ สายตาที่มองไปยังลูกคงแสดงอาการหงุดหงิดออกมาพร้อมกับคำพูดที่ออกไปจากปากว่า “ทำไมยังไม่นอนอีก นี่ก็ตั้งสี่ทุ่มแล้ว เดี๋ยวพรุ่งนี้ก็ตื่นสายไปโรงเรียนไม่ทัน” ลูกก็โผเข้ามากอดพ่อพร้อมกับบอกว่า “ลูกฝันร้ายค่ะ ลูกกลัว” พ่อจำได้ว่าพ่อพูดกับลูกด้วยเสียงอันดังว่า “เหลวไหล ลูกโตขนาดนี้แล้วยังขี้ขลาดได้อย่างไร พ่อไม่เคยสอนให้ลูกขี้ขลาด เราต้องไม่กลัว ไป... กลับไปนอนเดี๋ยวนี้” พ่อเห็นลูกค่อยๆ เดินจากไปอย่างเซื่องซึม ต่อมาเมื่อพ่อทำงานเสร็จ จะลุกขึ้นไปนอน จึงพบว่าลูกแอบมานอนหลับอยู่หน้าห้องทำงานของพ่อ พ่อจึงค่อยๆอุ้มลูกไปที่ห้องของลูก ตอนนั้นพ่อไม่รู้ตัวจริงๆว่า พ่อเข้มกับลูกมากไป ลูกเป็นเพียงเด็กผู้หญิงตัวเล็กๆ ที่มีอายุแค่ 9 ขวบ แต่พ่อกลับเอามาตรฐานของคนอายุ 40 ไปตัดสินลูก
เมื่อวานก็เช่นเดียวกัน ในขณะที่นั่งดูโทรทัศน์ด้วยกัน ลูกวิ่งไปที่ห้องเหมือนจะนึกอะไรได้ และสักครู่ ก็นำภาพสเกตรูปบ้านมาให้พ่อดู พร้อมกับพูดอย่างตื่นเต้นว่า “พ่อดูซิค่ะ รูปนี้ลูกแก้ววาดบ้านของเรา แล้วนี่พ่อ และนี่เป็นลูกแก้ว” ลูกใช้นิ้วเล็กๆชี้ไปที่รูปคนสองคน ผู้ชายใส่แว่นตาคือผู้ที่ลูกบอกว่าคือตัวพ่อ ส่วนรูปของลูกจะเป็นภาพของเด็กหญิงผมฟูยืนอยู่ข้างๆ พ่อจำได้ว่า ได้บอกลูกไปอย่างขาดความเข้าใจว่า “นี่นะหรือบ้านของเรา ทำไมมันโย้เย้อย่างนี้ละ และรูปนี้ไม่เห็นเหมือนพ่อเลย” เมื่อได้ฟังคำพูดของพ่อ ลูกก็เงียบไปทันทีและมือเล็กๆ ก็ค่อยๆดึงภาพนั้นกลับไป และค่อยเดินเลี่ยงออกจากห้องนั้นไป แต่พ่อก็ยังไม่รู้ตัวว่า พ่อได้ทำร้ายจิตใจของลูกอีกครั้งจนได้
ครั้งสุดท้ายเกิดขึ้นเมื่อเช้านี้เอง ก่อนที่จะขึ้นรถมาโรงเรียน ลูกวิ่งมาปิดตาพ่อแล้วก็บอกว่า “ทายซิคะว่า วันนี้วันอะไร ?” พ่อก็บอกว่า “วันอะไร ก็วันพุธใช่ไหม?” ลูกบอกว่า “ไม่ใช่ค่ะ เป็นวันวาเลนไทน์ และนี่ก็เป็นของขวัญที่ลูกแก้วทำให้พ่อ” ลูกเอามือออกจากตาพ่อ แล้วยื่นกล่องเล็กๆใบหนึ่งมาให้ พ่อเปิดดูเห็นรูปหัวใจที่ลูกวาด และตัดรูปพ่อแปะไว้ตรงกลาง และเขียนว่ารักพ่อมากที่สุดในโลก พ่อดูแล้วพ่อก็บอกขอบใจลูก แต่ก็ยังอุตสาห์บอกว่า “ลูกอย่าเอาเวลามาทำพวกเหล่านี้อีกเลย พ่ออยากให้ลูกท่องหนังสือให้มาก เพราะใกล้จะสอบแล้ว” พ่อจำได้ว่าสายตาลูกตก หน้าลูกจ๋อยไป แต่พ่อก็ไม่ได้พูดอะไรอีก และชวนลูกขึ้นรถไปโรงเรียน

ทุกสิ่งทุกอย่างที่พ่อทำไปพ่อรู้สึกเสียใจ เสียใจที่พ่อแม้จะรักลูกเพียงใดก็ตาม แต่พ่อก็ขาดความเข้าใจในตัวลูก พ่อคาดหวังลูกมากเกินไปสำหรับเด็กที่อายุเพียง 9 ขวบ พ่อไม่ได้ใส่ใจในความรู้สึกของลูก พ่อพียงแต่คิดว่า พ่อต้องทำหน้าที่ของพ่อให้ดีที่สุด คือเลี้ยงลูกให้ไปไกลที่สุด เรียนให้สูงที่สุด พ่อลืมนึกถึงความต้องการของลูก พ่อมุ่งนึกถึงตัวเองมากไป กลัวว่า คนเขาจะหาว่าพ่อเลี้ยงลูกไม่ดี พ่อก็เลยพยายามให้ลูกพิสูจน์กับคนพวกนั้น ว่าลูกเก่งลูกมีความสามารถในด้านต่างๆ พ่อใช้ลูกเป็นเครื่องมือเพื่อ “เติม” ให้กับความพร่องในใจของพ่อ บัดนี้พ่อรู้แล้วว่า พ่อยังไม่ได้ทำหน้าที่ดีอย่างที่ควรจะเป็น พ่ออยากจะให้ลูกยกโทษ และขอคุณพระรัตนตรัยและสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายจงช่วยคุ้มครองให้ลูกของพ่อได้ปลอดภัยกลับมาเป็นลูกของพ่ออีกสักครั้ง
“พ่อขอสัญญาว่า ถ้ามีโอกาสใหม่ พ่อจะเป็นพ่อที่ดีของลูกในความหมายที่แท้จริง พ่อจะรักลูกโดยไม่บังคับกดดันให้ลูกต้องมาเป็นอย่างที่พ่อต้องการ และพ่อจะยอมรับลูกอย่างที่ลูกเป็น พ่อจะไม่เอาเงื่อนไขต่างๆมาเป็นเครื่องต่อรอง ในความรักที่พ่อมีต่อลูก จะพยายามเข้าใจลูก ดูแลลูก ให้ลูกมีความสุข และพ่อจะบอกลูกให้รู้ว่าพ่อรักลูกทุกๆวัน”