| 
                                  | 
                                    
                                      | เวลา  | กิจกรรม  |  
                                      | 8.00 | ร้องเพลงชาติ   และสวดมนต์          |  
                                      | 8.10-8.30 | สนทนายามเช้า        |  
                                      | 8.30-9.30 | ภาษาไทย         |  
                                      | 9.30-10.3010.30-11.30
 | พลศึกษา               |  
                                      | 11.30-13.00 | รับประทานอาหารกลางวัน         |  
                                      | 13.00-14.00 | คอมพิวเตอร์          |  
                                      | 14.00-15.00 | ศิลปะบำบัด    |  
                                      | 15.00-15.30 | ทำเวร                |  
                                      |   | กลับบ้าน       |  
 | 
  • การทำงานอย่างเป็นระบบ  (Work  System) เด็กออทิสติกต้องการการรับรู้อย่างเป็นระบบ   เมื่อสั่งให้เด็กทำงานอะไร   ครูต้องบอกอย่างมีจุดมุ่งหมายเป็นขั้นตอน   เป็นการช่วยให้เด็กเข้าใจข้อตกลง   และรู้ว่าจะต้องทำอะไรอย่างชัดเจน  คือ -  รู้ว่างานที่จะต้องทำมีอะไรบ้าง
 - รู้ว่างานนั้นมีขั้นตอนในการปฏิบัติอย่างไร   เรียงลำดับจากง่ายไปยาก
 - รู้การจัดการเมื่อทำงานเสร็จแล้ว   เช่น  การส่งงาน   การเก็บหรือการทำความสะอาดอุปกรณ์การเรียน  ฯลฯ
 - รู้ว่าเมื่อทำงานเสร็จแล้วจะได้ทำในสิ่งที่ตนเองชอบ  เช่น  เล่นของเล่น   วาดรูป   หรือนอนเล่น
 - รู้ว่าชั่วโมงต่อไปจะต้องเรียนอะไร
 • การสอนด้วยการมองเห็น  (Visual   Instruction) เด็กออทิสติกจะเรียนรู้ได้ดีด้วยการใช้สายตา  (Visual  Learner)  นอกจากของจริงแล้ว   ภาพจึงเป็นสื่อการสอนที่เหมาะที่สุด   การใช้ภาพประกอบขั้นตอนในการเรียนการสอน   จะทำให้เด็กออทิสติกเข้าถึงบทเรียนได้ง่าย   เรียนรู้ได้เร็วขึ้น   ครูลดการพูดซ้ำๆ  เช่น  การสอนซักผ้าเช็ดมือ   ขณะที่ครูอธิบายขั้นตอนในการซักผ้า ครูควรจะมีภาพประกอบแต่ละขั้นตอน   ซึ่งจะช่วยให้เด็กออทิสติกเข้าใจและเห็นภาพชัดเจน   เมื่อเด็กจะข้ามขั้นตอน   ครูเพียงทบทวนด้วยภาพ   ไม่ต้องพูดซ้ำ   เด็กสามารถปฏิบัติได้ทันที
   
                เมื่อนำโปรแกรมทีชมาใช้กับเด็กที่มีอาการรุนแรงอย่างนพ   คงต้องใช้เวลาสักระยะ   เมื่ออาจารย์ใช้ปฏิบัติเป็นกิจวัตร   เด็กได้ทำซ้ำๆ ก็จะเกิดความคุ้นเคยกับระบบ   ปฏิบัติได้ด้วยตนเอง   นพลดอาการก้าวร้าว   นพรู้ว่าตนเองควรจะอยู่ในที่ใดเวลาใด   กระตือรือร้นที่จะเตรียมตัวเรียนในชั่วโมงต่อไป   โดยที่อาจารย์ไม่ต้องมาบอกหรือดึงให้เข้าเรียน   เมื่อต้องการจะแลกชั่วโมง   เพียงบอกให้นพทราบ   แล้วสับเปลี่ยนตารางเวลา    นพก็ไม่โวยวายเหมือนแต่ก่อน   เมื่อนพทำงานเสร็จ   ส่งงานแล้ว   นพจะไปนอนฟังเพลงที่มุมห้องตามที่กำหนด         
             มีเรื่องขำๆ  ที่อาจารย์ผู้สอนเล่าให้ฟังว่า   นพจะต้องลงไปฉีดวัคซีนร่วมกับเพื่อนๆ   ถ้าบอกด้วยวาจานพคงต่อต้าน   เพราะนพกลัวเข็มฉีดยา   อาจารย์จึงเตรียมตัวนพก่อนล่วงหน้าเป็นอาทิตย์   ให้รู้จักเข็มฉีดยา   วีธีการฉีดยาของหมอ   และที่ไม่ลืมคือภาพการฉีดยาที่ต้องเตรียมไว้เสียบแทนที่กิจกรรมเดิมของคาบนั้น  ตารางเรียนของนพทำเป็นเล่ม   ที่บรรจุกิจกรรมใน 1 วัน    อาจารย์นำติดมือไปห้องพยาบาลด้วย    เพื่อย้ำว่านพจะต้องทำอะไร   ขณะเข้าแถวรอฉีดยา   นพมีอาการกระสับกระส่าย   แต่ไม่ยอมออกจากแถว   เพราะอาจารย์กางคัมภีร์เพื่อชีวิตให้ดูเป็นระยะ   จนกระทั่งอาจารย์ใจอ่อน   เพราะนพหน้าซีดขาวตัวงอ   เมื่อเห็นเพื่อนบางคนร้องไห้หรือทำหน้าเหยเกออกมา    อาจารย์เลยเปลี่ยนใจจะพานพกลับ   แต่นพไม่ยอม   ยื้อยุดกันอยู่พักหนึ่ง   อาจารย์นึกขึ้นมาได้   เลยดึงแผ่นฉีดยาออก   เสียบรูปเดินกลับห้องเข้าแทนที่   นพกระโดดตบมือ   ร้องกรี๊ดด้วยความดีใจ   วิ่งสุดกำลังกลับขึ้นห้องทันที
   โปรแกรมทีช  สามารถนำมาใช้ได้หลากหลาย   ในเรื่องของการสื่อสาร   การปรับพฤติกรรม   การทำงาน   การสร้างความสัมพันธ์กับบุคคล   การปฏิบัติตนในบ้าน   การเรียนรู้อย่างเป็นระบบตามโปรแกรมนี้   จะนำไปสู่การพัฒนาเด็กได้เต็มตามศักยภาพ |