4. การประสานงานและความร่วมมือกับผู้เกี่ยวข้อง
ความรับผิดชอบในการจัดการศึกษาสำหรับเด็กทุกคน เป็นหน้าที่โดยตรงของสถาบันการศึกษา แต่เนื่องจากสภาวะความผิดปกติของเด็ก มักจะเกี่ยวข้องกับความผิดปกติ ทั้งทางร่างกายและ จิตใจ จึงจำเป็นต้องได้รับการบำบัดรักษาจากจิตแพทย์ ควบคู่กับการให้การศึกษา นอกจากนั้น พ่อแม่ซึ่งเป็นผู้ที่รู้จักเด็กดีที่สุด ต้องรับผิดชอบต่อชีวิตของเด็กเป็นระยะเวลายาวนานกว่าบุคคลอื่นๆ ย่อมมีบทบาทสำคัญต่อผลสำเร็จของการจัดการศึกษาสำหรับเด็กพิเศษเช่นกัน
เพื่อให้การ ประสานงานและ ความร่วมอย่างดี ของทุกฝ่าย เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพจึงมีการดำเนินงานดังนี้
4.1 คณะกรรมการดำเนินงานโครงการฯ อาจารย์ที่ปฏิบัติงานในโครงการฯ และแพทย์จาก โรงพยาบาลยุวประสาทไวทโยปถัมภ์ฯ ประชุมปรึกษาเกี่ยวกับนักเรียนเป็นรายกรณี อย่างน้อยภาคการศึกษาละ 1 ครั้ง เพื่ออภิปรายถึงความก้าวหน้าทั้งด้านการเรียนและพฤติกรรม รวมทั้งปัญหาต่างๆ และแนวทางปฏิบัติเพื่อแก้ไขปัญหา และส่งเสริมพัฒนาการของเด็ก การประชุมเช่นนี้ ก่อให้เกิดประโยชน์ต่อการจัดการศึกษาแก่เด็กพิเศษเป็นอย่างยิ่ง เพราะ บุคลากรทางการแพทย์ และแนวการศึกษา ได้แลกเปลี่ยนความรู้ในสาขาวิชาของตนได้ เรียนรู้ข้อมูลซึ่งกันและกัน บุคลากรทางการศึกษามีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับการบำบัดทางจิตเวช นำวิธีการบำบัดนั้น มาปฏิบัติในโรงเรียน ส่วนบุคลากรทางการแพทย์มีความรู้ความเข้าใจวิธีการจัดการศึกษา สำหรับเด็กพิเศษในโรงเรียนปกติเพิ่มขึ้น รวมทั้งได้ทราบปัญหาต่างๆเมื่อเด็กพิเศษเข้าเรียน ร่วมกับเด็กปกติ ทำให้สถาบันทางการแพทย์สามารถจัดการศึกษา เพื่อเตรียมเด็กใน โรงพยาบาลให้มีความพร้อมมากยิ่งขึ้น
4.2 อาจารย์ที่ปฏิบัติงานในโครงการฯ และผู้ปกครอง ประชุมร่วมกันอย่างน้อยภาคการศึกษา ละ 1 ครั้ง เป็นการประชุมเพื่ออภิปรายถึงพัฒนาการและปัญหาของนักเรียนแต่ละคน วางแผน ร่วมกันในการแก้ไขปัญหา การประชุมดังกล่าวมีประโยชน์อย่างยิ่งเพราะก่อให้เกิดความ เข้าใจที่ดีต่อกันระหว่างบ้านและโรงเรียน ผู้ปกครองได้แลกเปลี่ยนความคิดเห็นกันในการ อบรมเลี้ยงดูเด็ก นอกจากนั้น นักจิตวิทยาโรงเรียนได้ให้ความช่วยเหลือผู้ปกครอง พัฒนา โปรแกรมการปรับพฤติกรรม ที่ผู้ปกครองสามารถนำไปปฏิบัติที่บ้าน เพื่อแก้ไขพฤติกรรมที่ เป็นปัญหาของนักเรียน